วันมาฆบูชา

         มาฆบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือน  ๓ เป็นวันที่มีความสำคัญวันหนึ่ง  ของพระพุทธศาสนาในท่ามกลางสงฆ์  ณ เวฬุวันมหาวิหารโดยพระพุทธเจ้าทรงปรารภเหตุสำคัญ๔ประการที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า จาตุรงคสันนิบาต ซึ่งแปลว่า การประชุมที่พร้อมด้วยองค์ ๔ คือ
        ๑. วันนั้นเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดื
        ๒. วันนั้นพระอรหันตขีณาสพ จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
        ๓. พระอรหันตขีณาสพที่มาประชุมกันนั้น   ล้วนเป็นผู้หมดกิเลสบรรลุอภิญญา ๖ แล้วทั้งสิ้น
        ๔. พระอรหันตขีณาสพทั้งหมดนั้น เป็นเอหิภิกขุ คือเป็นผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง

        พระพุทธองค์ทรงปรารภเหตุนี้  จึงได้วางหลักการที่สำคัญของพระพุทธศาสนาไว้ โดยได้ตรัสเป็นคำประพันธ์ไว้ ๓ คาถากึ่งดังนี้การไม่ทำความชั่วทั้งปวง  การบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อมการทำจิตของตนให้ผ่องใสนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายความอดทนคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพานเป็นบรมธรรมผู้ทำร้ายคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตผู้เบียดเบียนคนอื่นไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ การไม่กล่าวร้ายการไม่ทำความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ความเป็นรู้จักประมาณในอาหาร ที่นั่งนอนอันสงัดความเพียรในอธิจิตนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
       คำสอนเหล่านี้ถือเป็นหลักการที่สำคัญของพระพุทธศาสนาแต่เรามักจะจำได้เฉพาะคาถาแรกเท่านั้นว่าไม่
ทำชั่วทำแต่ความดีและทำจิตใจให้บริสุทธิ์และในวันเพ็ญเดือน ๓ นี้ อีก  ๔๔ ปีต่อมาถือว่ามีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นอีกแต่ไม่ค่อยถูกกล่าวถึงก็คือ การปลงพระชนมายุสังขารของพระพุทธเจ้าโดยพรรษาสุดท้ายขณะที่พระองค์ประทับอยู่ ณ ปาวาลเจดียใกล้เมืองเวสาลี พระองค์ได้แสดงนิมิตโอภาสแก่พระอานนท์ว่า  ผู้ใดเจริญอิทธิบาทธรรม  ๔  ประการดีแล้วถ้าปรารถนาก็มีอายุยืนอยู่ได้ถึงกัปหรือเกินกัป แต่พระอานนท์นึกไม่ถึงจึงไม่ได้กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าอยู่ต่อ เมื่อพระอานนท์ออกไปจากที่เฝ้ามารจึงเข้ามาให้พระองค์ปรินิพพานพระองค์จึงรับคำอาราธนาโดยกำหนดปรินิพพานอีก ๓ เดือนข้างหน้าคือวันวิสาขะ

       ดังนั้นวันที่ทรงตัดสินใจปรินิพพานจึงตรงกับวันเพ็ญเดือน ๓ การบูชาในวันมาฆบูชาเป็นประเพณีที่เพิ่งเริ่มทำกันในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยในสมัยนั้นได้มีการบำเพ็ญพระราชกุศลคือเวลา เช้าพระสงฆ์๓๐รูปฉันในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเวลาค่ำทรงจุดธูปเทียนพระสงฆ์ทำวัตรสวดมนต์สวดคาถาโอวาทปาฏิโมกข์ ๑ กัณฑ์แต่สมัยต่อๆ มาพระเจ้าแผ่นดินทรงติดภารกิจราชการ ณหัวเมืองต่าง ๆ ก็จะทรงบำเพ็ญพิธีมาฆบูชาที่เมืองนั้นๆปัจจุบันราชการได้ให้ความสำคัญต่อวันมาฆบูชาโดยกำหนดเป็นวันหยุดราชการเช่นเดียวกับวันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา

        วิสาขบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖ เพื่อระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเขียนอีกอย่างหนึ่งว่าวิศาขบูชาวันวิสาขบูชาเป็นวันทีมีความสำคัญพิเศษที่สุดในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในหมู่พุทธศาสนิกชน เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันแล้วนเป็นวันที่มีความสำคัญต่อพระพุทธเจ้าทั้งหมด แต่เกิดต่างปีกันในช่วงเวลา ๘๐ ปีเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นคือการประสูติ

        การตรัสรและการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า โดยทั้ง ๓ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๖เหมือนกันแต่ต่างปีกัน คือ
       ๑. วันประสูติ ตรงกับวันศุกร์ วันเพ็ญเดือน ๖ ปีจอ เวลาสายใกล้เที่ยงก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปีเกิดขึ้น ณป่าลุมพินีเขตติดต่อระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะปัจจุบันเรียกว่าตำบลรุมมินเด
       ๒. วันตรัสรู้ เกิดขึ้นในเวลา ๓๕ ปีต่อมา ภายหลังที่สิทธัตถะกุมารเสด็จออกบรรพชาได้ ๖ ปี ณ โคนต้นโพธิ์ใบชื่อว่า อัสสัตถะใกล้แม่น้ำเนรัญชราตำบลอุรุเวลาเสนานิคมแคว้นมคธปัจจุบันเรียกว่า ตำบลพุทธคยา
       ๓. วันปรินิพพานเกิดขึ้นในปีที่ ๘๐ แห่งพระชนมายุของพระพุทธเจ้า ณ แท่นบรรทมระหว่าง
ต้นรังคู่ ป่าสาละ เมืองกุสินาราปัจจุบันเป็น ตำบลกุสินารา หรือกุสินาคารรัฐอุตตรประเทศนับเป็นการยากยิ่งนักที่เหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณจะเกิดขึ้นในวันเดียวกัน ของปีที่ต่างกันดังนั้น ชาวพุทธจึงถือว่าวันนี้เป็นวันที่สำคัญทางพุทธศาสนา และได้จัดพิธีบูชากันอย่างยวดยิ่ง      

       การจัดพิธีบูชาในวันวิสาขบูชาได้สันนิษฐานว่า มีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยซึ่งเป็นสมัยที่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทได้แพร่หลายเข้ามาตามหนังสือเรื่องนางนพมาศซึ่งได้กล่าวถึงพิธีบูชาในวันวิสาขบูชาว่าทำกันอย่างเอิก เกริกเป็นเวลา ๓ วัน ๓คืนกิจกรรมที่จัดเป็นพุทธบูชาได้แก่ประดับบ้านเรือนด้วยโคมประทีปและดอกไม้ประพรมสุคนธรส รักษาอุโบสถศีล ฟังพระธรรมเทศนา บูชาธรรมถวายสลากภัตสังฆทานยกธงผ้าบูชาพระสถูปเจดีย์ บริจาคทรัพย์แจกจ่ายแก่คนขัดสนเข็ญใจ ไถ่ชีวิตสัตว์ ปล่อยนกปล่อยปลาและที่ขาดไม่ได้ก็คือการเวียนเทียน             
       แต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลที่ ๑ ประเพณีดังกล่าวไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นเพราะภาวะบ้านเมืองในขณะนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการทำพิธีก็ได้ในรัชกาลที่ ๒ ปรากในพงศาวดารว่าพระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่จะบำเพ็ญกุศลที่มียิ่งกว่าที่ได้ทรงบำเพ็ญมาจึงได้ตรัสถามสมเด็จพระสังฆราชและสมเด็จพระสังฆราช(มี :วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์) ได้ถวายวิสัชนาว่าให้บำเพ็ญการบูชาในวันวิสาขบูชาทำให้พระองค์เกิดปีติโสมนัสรับสั่งให้ประกอบพิธี ๓ วัน ๓ คืน คือ ตั้งแต่ขึ้น ๑๔ ค่ำ ถึง แรม ๑ ค่ำ เดือน ๖โดยมีพิธีกรรมคือการรักษาอุโบสถศีล เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเสพสุราเมรัย ตั้งโคมแขวนตามประทีป เวียนเทียนแสดงธรรมเทศนา ทำบุญตักบาตรปล่อยสัตว์สวดพระปริตรทำน้ำมนต์ ถวายสลากภัต เช่นเดียวกับพิธีกรรมที่ปรากฏในสมัยสุโขทัยในปัจจุบันราชการได้ให้ความสำคัญแก่วันนี้โดยกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาทั้งวัน

วันอัฏฐมีบูชา

       อัฏฐมีบูชา แปลว่า การบูชาในวันอัฏฐมี หมายถึง การบูชาในวันแรม ๘ ค่ำ เดือน๖ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้าถัดจากวันวิสาขบูชามา ๘ วัน กล่าวคือเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานระหว่างต้นรังคู่ป่าสาลเมืองกุสินาราความเศร้าโศกก็เกิดขึ้นทั่วไปในหมู่พุทธศาสนิกชนที่เป็นปุถุชน ส่วนพระขีณาสพก็เกิดธรรมสังเวช

       พวกมัลลกษัตริย์ได้ทำการบูชาพระบรมศพด้วยเครื่องบูชาอันประณีตและสวยงาม ประกอบพิธีเหมือนดังที่จัดให้แก่พระมหากษัตริย์ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในวันที่ ๗ จึงอัญเชิญพระบรมศพไปประดิษฐาน ณ มกุฏพันธนเจดีย์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองกุสินาราแล้วถวายพระเพลิง แต่ไฟไม่ติด โดยเทพยดาได้บันดาลไว้เพื่อรอพระมหากัสสปะมาถึงฝ่ายพระมหากัสสปะได้พาภิกษุ ๕๐๐ รูป เดินทางไปยังเมืองกุสินาราตอนเที่ยงได้พบกับอาชีวกคนหนึ่งสอบถามและทราบว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ ๗ วันจึงเดินทางต่อไปจนถึงเมืองกุสินาราเมื่อถึงมกุฏพันธนเจดีย์แล้วก็พาพระสงฆ์ประนมมือเดินเวียนรอบจิตกาธาน๓รอบแล้วเข้าไปถวายบังคมพระบาทของพระพุทธองค์ทันใดนั้นเทพยดาก็บันดาลให้ไฟลุกขึ้นที่จิตกาธานเผาพระบรมศพจนหมดสิ้น เหลือเพียงผ้า ๑ คู่ ที่ใช้หุ้มห่อพระบรมศพชั้นในสุดและชั้นนอกสุด กับพระเขี้ยวแก้ว ๔ พระรากขวัญ ๒ สิ่งทั้ง ๗ นี้ ยังคงอยู่ปกติมิได้กระจัดกระจายไป
        ส่วนพระบรมสารีริกธาตุที่เหลือแตกกระจายออกเป็น ๓ ขนาด คือขนาดใหญ่ประมาณเท่าเมล็ดถัวแตก ขนาดกลางประมาณเท่าเมล็ดข้าวสารหัก และขนาดเล็กประมาณเท่าเมล็ดพันธ์ผักกาด และหลังจากนั้น ได้มีการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปตามทที่ปรากฏในคัมภีร์และเอกสารต่าง ๆ ทั่วไปพิธีกรรมที่ปฏิบัติในวันอัฏฐมีบู ชาในอดีตไม่ปรากฏหลักฐานเอกสารที ่เด่นชัด จึงสันนิษฐานว่า จะนิยมจัดเฉพาะบางวัดเท่านั้น ไม่แพร่หลายทั่วไปเหมือนวันวิสาขบูชาและวันอื่นๆ หลักปฏิบัติในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาทั้ง ๔ วันนี้มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าโดยตรงในปัจจุบันนิยมมีพิธีปฏิบัติในวันทั้ง๔นี้คล้ายคลึงกันคือ
       ๑. การใส่บาตรทำบุญที่วัดหรือที่บ้านในเวลาเช้า
       ๒. การสมาทานศีล๕หรือศีลอุโบสถ
       ๓. การปล่อยนกปล่อยปลาหรือสัตว์มีชีวิตอื่นๆ
       ๔. การงดเว้นการดื่มสุราเมรัย และอบายมุขทุกชนิด และสถานเริงรมย์บางแห่งก็ร่วมบำเพ็ญบุญ
โดยงดเปิดกิจการในวันทั้ง๓ ยกเว้นวันอัฏฐมีบูชา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาด้วย 
       ๕. การไปนมัสการไหว้พระสวดมนต์ และทำบุญตามวัดวาอารามต่าง ๆ
       ๖. การฟังพระธรรมเทศนาและปฏิบัติสมาธิภาวนา
       ๗ การสนทนาธรรมกับพระภิกษุหรือผู้ทรงคุณทางศาสนา
       ๘.การเวียนเทียนที่วัดโดยพุทธศาสนิกชนจะเตรียมดอกไม้ธูป เทียน ไปวัด เมื่อถึงกำหนดเวลาเวียนเทียน (ส่วนมากจะเป็นตอนกลางคืน ช่วง ๑๙.๐๐ – ๒๐.๓๐น.) ก็จะประกอบพิธีดังนี้

       ๑. เมื่อถึงวันวิสาขบูชา (รวมทั้งวันมาฆบูชาอาสาฬหบูชาหรืออัฏฐมีบูชา)ควรเตรียมเครื่องบูชา เช่นธูป เทียนดอกไม้ไว้ให้พร้อม การแต่งกายไปประกอบพิธีควรให้สุภาพเรียบร้อย
       ๒.เมื่อไปชุมนุมพร้อมกัน ณ ที่จะประกอบพิธีบูชา เช่น ที่หน้าลานโบสถ์วิหาร หรือลานหน้าพระเจดียพระสถูปองค์ใดองค์หนึ่ง และเมื่อได้เวลาประกอบพิธีแล้วให้ทุกคนยืนถือดอกไม้ ธูป เทียน ด้วยมือขวาชูขึ้น
ไว้เสมอลำตัว
       ๓. พระสงฆ์ผู้เป็นประธานในพิธีกล่าวให้โอวาท (หรือความสำคัญและความเป็นมาของวันนี้) ประมาณ๑๐–๑๕นาทีทุกคนประนมมือถือดอกไม้ธูป เทียนตั้งใจฟังด้วยความเคารพเมื่อพระสงฆ์ให้โอวาทจบลงให้เปล่งเสียงสาธุการ
       ๔. ประธานพิธีแจ้งให้ทุกคนจุดธูป เทียน แล้วกล่าวนำบูชา ทุกคนว่าตาม
       ๕. เมื่อกล่าวคำบูชาพระสงฆ์จะเดินนำหน้า ประชาชนเดินตามหลังเวียนขวารอบโบสถ์ หรือปูชนียสถาน๓ รอบด้วยอาการสงบ
       ๖. เมื่อครบ ๓ รอบแล้วให้นำธูปไปปักไว้ที่กระถางธูปนำเทียนไปปักไว้ที่ราวเชิงเทียนและนำดอกไม้ใส่ไว้ในภาชนะที่วัดจัดไว้เป็นเสร็จพิธีในการเดินเวียนรอบอุโบสถหรือปูชนียสถานนั้นท่านผู้รู้ได้แนะนำให้ภาวนาในใจในการเดินเวียนแต่ละรอบ ดังนี้รอบที่ ๑ ให้น้อมจิตระลึกถึงพระพุทธเจ้าโดยสวดบทสรรเสริญพระพุทธคุณ (อิติปิโส ภควา…) ไปจนจบรอบ หรือหากใครสวดไม่ได้ อาจภาวนาในใจว่า พุทฺโธพุทฺโธ..ไปจนจบรอบก็ได้รอบที่ ๒ ให้น้อมจิตระลึกถึงพระธรรมโดยสวดบทสรรเสริญพระธรรมคุณ (สฺวากขาโตภควตา ธมฺโม )ไปจนจบรอบ หรือหากใครสวดไม่ได้ อาจภาวนาในใจว่า ธมฺโมธมฺโม.ไปจนจบรอบก็ได้รอบที่ ๓ ให้น้อมจิตระลึกถึงพระสงฆ์โดยสวดบทสรรเสริญพระสังฆคุณ(สุปฏิปนฺโนภควโตสาวกสงฺโฆ)ไปจนจบรอบ หรือหากใครสวดไม่ได้ อาจภาวนาในใจว่า สงฺโฆ สงฺโฆ ไปจนจบรอบก็ได้อนึ่งก่อนหรือหลังเวียนเทียนบางวัดนิยมมีพระธรรมเทศนาหรือเจริญพุทธมนต์บทที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญนั้นๆด้วยและบางวัดก็จะจัดให้มีนิทรรศการเกี่ยวกับความเป็นมาและความสำคัญนั้นโดยใช้สื่อต่าง ๆ เช่นรูปภาพสไลด์เป็นต้นซึ่งเป็นสิ่งที่กระตุ้นความสนใจของพุทธศาสนิกชนไม่น้อย

       ปัจจุบันราชการได้กำหนดวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา๓วันคือวันวิสาขบูชาวันมาฆบูชาและ
วันอาสาฬหบูชาเป็นวันหยุดราชการแต่วันอัฏฐมีบูชาไมได้ถูกกำหนดว่าเป็นวันหยุดราชการการนับกำหนดวันทั้ง ๔ ในปีอธิกมาส ให้เลื่อนไปอีก ๑ เดือน คือ วันมาฆบูชาจะตรงกับกลางเดือน ๔ วันวิสาขบูชาและวันอัฏฐมีบูชาจะอยู่ในเดือนและวันอาสาฬหบูชาจะตรงกับเดือน ๘ หลัง

วันอาสาฬหบูชา

        อาสาฬหบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือน ๘ เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง โดยเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไดตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เรียกว่าปฐมเทศนาพรธรรมเทศนากัณฑ์ที่ทรงแสดงในวันนั้นมีชื่อว่าธรรมจักกัปปวัตตนสูตร  ผู้ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดในวันนี้คือ พระปัญจวัคคีย์

       เนื้อหาของพระธรรมเทศนาที่แสดงในวันนี้ เกี่ยวกับที่สุดโต่ง ๒ ประการที่ไม่ควรประพฤตปฏิบัติคือ 
       ๑. อัตตกิลมถานุโยคคือ การทำตนให้ลำบากเปล่าคือ ความพยายามเพื่อบรรลุผลที่มุ่งหมายด้วยวิธี
ทรมานตนเองให้ได้รับความลำบากต่าง ๆ
       ๒. กามสุขัลลิกานุโยค คือ การทำตนให้พัวพันหมกมุ่นอยู่ในกามสุขโดยที่สุดโต่งทั้ง ๒ ประ
การนี้ ม่ใช่หนทางที่จะหลุดพ้นความทุกข์ ซึ่งพระองค์ได้ลองประพฤติบัติมาแล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะบรรลุความพ้นทุกข์ได้จากนั้น พระองค์ทรงแสดงอริยสัจ ๔ ประการ ซึ่งเป็นความจริงอันประเสริฐหรือหลักความจริงที่ทำให้บุคคลเป็นผู้ระเสริฐ ๔ ประการ คือ
       ๑. ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ได้แก่ ขันธ์ ๕
       ๒. สมุทัย คือ เหตุเกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา๓ประการ คือกามตัณหาภวตัณหาและ วิภวตัณหา
       ๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์
       ๔. มรรค คือ หนทางที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ ได้แก่อัฏฐังคิกมรรคคือมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น

        เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาจบลงพระอัญญาโกณฑัญญะได้เกิดดวงตาเห็นธรรมแล้ว ปัญจวัคคียก็ ทูลขออุปสมบท กับพระพุทธเจ้าพระองค์จึงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้แก่พระปัญจวัคคีย์จึงถือได้ว่าวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ นี้เป็นวันที่พระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม แล ะพระสงฆเกิดขึ้นครบบริบูรณ์การประกอบพิธีกรรมในวันอาสาฬหบูชาในอดีตไม่ปรากฏชัดว่ามีหรือไม่จวบจนถึงปีพ.ศ.๒๕๐๑คณะสังฆมนตรี ได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่งเช่นเดียวกับวันมาฆบูชาและวิสาขบูชาตามข้อเสนอของสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การศึกษา (พระธรรมโกศาจารย์ วัดมหาธาตุ ) แล้วเสนอไปยังรัฐบาลให้กำหนดเป็นวันสำคัญทางราชการด้วย คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ เมื่วันที่ ๒๑ กรกฎาคม๒๕๐๑และมีระเบียบรับรองเมื่อวันที่๒๓ กรกฎาคม ๒๕๐๑ คณะสั งฆมนตรี ได้กำหนดวันอาสาฬหบูชาเป็นวั นสำคัญทางพระพุทธศาสนาและได้กำหนดระเบียบปฏิบัติหรับคณะสงฆ์จวบจนปัจจุบัน
       เพราะฉะนั้นวันอาสาฬหบูชาจึงมีความสำคัญสรุปได้ดังนี้
       ๑. เป็นวันแรกที่พระพุทธองค์ทรงประกาศพระศาสนา
       ๒. เป็นวันแรกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนาชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
       ๓. เป็นวันแรกที่บังเกิดขึ้นแห่ง พระอริยสงฆ์องค์แรก
       ๔. เป็นวันแรกที่บังเกิด สังฆรัตนะ ทำให้บริบูรณ์เป็น พระรัตนตรัย ได้แก่พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะและพระสังฆรัตนะ
       ครั้นวันอาสาฬหบูชา ซึ่งจัดเป็นวันสำคัญที่ขอเรียกว่า วันสังฆาภิลักขิตสมัย หมายถึงเวลากำหนดเพื่อกระทำบูชาเป็นการระลึกพระอริยสงฆ์ ได้เวียนมาบรรจบครบรอบ หนึ่งปีจึงมีครั้งหนึ่ง ก็พึงพร้อมใจกันกระทำอามิสบูชาและปฏิบัติบูชาให้เต็มวัน เต็มพิธี และเต็มใจ ให้สมกับที่เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของพระพุทธศาสนาพระไตรรัตนานุภาพและคุณความดีต่างๆ ที่กระทำแล้ว จะบันดาลให้ท่านประสบสุขสวัสดิ์และโชคดีทุกประการ

Scroll to Top